เป็นวงปี่พาทย์ชนิดหนึ่งที่เกิดขึ้นในสมัยรัชกาลที่ ๒ แห่งกรุงรัตนโกสินทร์สำหรับการเล่นเสภาในอดีต มีวิวัฒนาการมาโดยลำดับ ดังนี้
๑. เริ่มแรกผู้ขับจะขับเสภาเป็นเรื่องราว พร้อมกับขยับกรับในไม้ต่างๆให้สอดประสานไปกับบทจนจบเรื่อง
๒. ต่อมาให้มีดนตรีเข้ามาบรรเลงประกอบในการขับเสภา แต่บรรเลงเฉพาะกิริยาอารมณ์ต่าง ๆ ของตัวละครในบท เช่น ไป มา โกรธ ดีใจ หรือเสียใจ เป็นต้น
๓. ต่อมานำบทเสภาบางตอนที่ไพเราะมาร้องส่งให้ปี่พาทย์รับ ซึ่งในชั้นแรกจะเป็นเพลงในอัตราสองชั้น โดยสร้างรูปแบบและวิธีการเล่นปี่พาทย์เสภาที่มีปี่พาทย์ประกอบคือ เริ่มด้วยวงปี่พาทย์บรรเลงเพลง “ รัวประลองเสภา “ ผู้ขับ ขับเสภาในบทไหว้ครู แล้วขับเข้าเรื่อง บทเสภาบทใดไพเราะ ผู้ขับก็จะร้องส่งให้ปี่พาทย์รับ แล้วขับเสภาเดินเรื่องต่อ กระทำสลับกันจนจบเรื่อง ในระหว่างบทร้องส่งเพลงสุดท้าย เมื่อปี่พาทย์รับแล้ว จะลงจบด้วยทำนองเพลงที่เป็น “ ลูกหมด”
๔. การขยับกรับขับเสภาเป็นเรื่องราวจึงลดน้อยค่อยๆหายไป คงเหลือแต่การนำบทเสภาในเรื่องต่างๆมาขับร้องส่งให้ปี่พาทย์รับ พร้อมทั้งสร้างรูปแบบ ลำดับวิธีการบรรเลงปี่พาทย์เสภา ยึดถือเป็นระเบียบดังนี้
๑. รัวประลองเสภา
๒. โหมโรงเสภา
๓. เพลงพม่า ๕ ท่อน
๔. เพลงจะเข้หางยาว
๕. เพลงสี่บท
6. เพลงบุหลัน
จากนั้นจะร้องและบรรเลงเพลงประเภททยอย เช่น ทยอยเขมร ทยอยนอกทยอยใน โอ้ลาว แขกลพบุรี แขกโอด เป็นต้น หรืออาจต่อด้วยเพลงตับเรื่องต่างๆ เมื่อจะจบการ บรรเลง จะบรรเลงและขับร้อง “ เพลงลา" เป็นอันดับสุดท้าย สำหรับเพลงลาเป็นเพลงลักษณะหนึ่งที่ท่วงทำนองตอนหนึ่งให้ปี่ว่า “ ดอก “ ตามบทร้อง เช่น เพลงเต่ากินผักบุ้ง เพลงพระอาทิตย์ชิงดวง
วงปี่พาทย์เสภามีรูปแบบจัดวง ๓ รูปแบบ
๑. วงปี่พาทย์เสภาเครื่องห้า
๒. วงปี่พาทย์เสภาเครื่องคู่
๓. วงปี่พาทย์เสภาเครื่องใหญ่
ลักษณะการจัดวงใช้วิธีการจัดวงเหมือนวงปี่พาทย์ไม้แข็ง เปลี่ยนเอากลองทัดและตะโพนออก ใช้กลองสองหน้าควบคุมจังหวะหน้าทับแทน<<<ก่อนหน้า
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น